วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2557

หลักการปลูกไม้ดอกไม้ประดับ

หลักการปลูกไม้ดอกไม้ประดับ
การรู้หลักในการปลูกและการบำรุงรักษาต้นไม้เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการปลูกไม้ประดับ การรู้จักการเลือกต้นไม้มาปลูกจะต้องให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมและดินฟ้าอาการในท้องถิ่นนั้น ๆ เช่น จะต้องรู้ว่าการที่นำเอาต้นไม้ที่เกิดในท้องถิ่นหนาวมาปลูกในท้องถิ่นร้อน หรือต้นไม้ที่ปลูกในท้องที่มีฝนมาก นำมาปลูกในท้องที่แห้งแล้ง ย่อมทำให้ต้นไม้ไม่เจริญเติบโตงอกงาม เพราะดินฟ้าอากาศไม่เหมือนกัน เหล่านี้เป็นต้น การที่ต้นไม้จะเจริญงอกงามสมบูรณ์ดีนั้น ก็ต้องประกอบด้วยสิ่งต่าง ๆ หลายฝ่าย คือ
1. ดิน ต้นไม้จะเจริญงอกงามได้ดีนั้นต้องอาศัยดิน เพราะดินเป็นแหล่งอาหารพืช ซึ่งประกอบด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ และอินทรีย์วัตถุอัน เกิดจากการเน่าเปื่อยของสัตว์และจากซากพืช ดินที่อุดมสมบูรณ์ก็จะทำให้เจริญเติบโต ในทาง ตรงกันข้าม ถ้าเราปลูกต้นไม้แล้วไม่เจริญเติบโต ก็แสดงว่าดินนั้นไม่อุดมสมบูรณ์ จำเป็นจะต้องปรับปรุงดินให้อุดมสมบูรณ์ด้วยปุ๋ย ปูนขาว หรือพืชวัตถุอื่น ๆ ดินที่พืชต้องการคือดินร่วนซุยที่อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชวัตถุ อาจจะเป็นหญ้า ฟาง ใบไม้ หรือพืชอื่น ๆ ที่ผุเปื่อย มูลสัตว์ต่าง ๆ ที่ผสมอยู่ในดิน เพื่อให้เกิดความร่วนซุย รากของพืชจะได้ชอนไปหาอาหารได้สะดวก และทำให้น้ำไหลซึมได้ง่าย และลักษณะของดิน มีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด คือ
ดินเหนียว คือดินที่มีเนื้อดินละเอียดจับกันเป็นก้อนเหนียว มีช่องที่จะทำให้อากาศและน้ำผ่านไปได้น้อยมาก ดินชนิดนี้ไม่เหมาะแก่การปลูกต้นไม้ เพราะรากหาอาหารได้ยากและทำให้เกิดโรครากเน่า ต้นไม้ไม่เจริญเติบโต ดัง นั้น ถ้าดินที่จะปลูกไม้ประดับนั้นเป็นดินเหนียวจำเป็นจะต้องทำดินเหนียวนั้นให้ร่วนซุยเสียก่อน โดยการผสมกับทรายถมที่และอินทรีย์วัตถุ ได้แก่พืชวัตถุหรือมูลสัตว์อย่างละเท่ากัน


ดินทราย เป็นดินที่อากาศผ่านได้สะดวก อุ้มนํ้าได้น้อย ไม่พอกับความต้องการของพืช อาหารของพืชมีน้อย เมื่อปลูกไม้ประดับก็จะทำให้ไม้ประดับนั้นไม่เจริญเติบโต จำเป็นจะต้องปรับปรุงดินทรายนั้นให้ดีขึ้นโดยใส่ดิน เหนียวและอินทรีย์วัตถุลงไป


ดินร่วน เป็นดินที่เหมาะสมแก่การปลูกต้นไม้ เพราะมีอินทรีย์วัตถุผสมอยู่แล้ว



2. อุณหภูมิ คือความร้อนหรือความเย็นของอากาศในวันหนึ่ง ๆ อุณหภูมิสูง หมายความว่าอากาศในวันนั้นร้อนมาก อุณหภูมิต่ำ หมายความว่าอากาศในวันนั้นหนาวเย็น อุณหภูมิที่เหมาะแก่การเจริญเติบโตของพืชคืออุณหภูมิที่ไม่หนาวและร้อนเกินไป ประมาณ 15-40 องศาเซ็นเซียส อุณหภูมิที่สูงหรือตํ่าไปพืชจะไม่เจริญงอกงามตามที่ควร เพราะเมื่ออุณหภูมิต่ำลง ๆ รากของพืชจะดูดน้ำได้น้อย และในทำนองเดียวกัน ถ้าอุณหภูมิสูงขึ้น ๆ รากของพืชก็จะดูดน้ำได้น้อยเช่นกัน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า อุณหภูมิสูงขึ้น ๆ รากของพืชก็จะดูดน้ำได้น้อยเช่นกัน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า อุณหภูมิสูงหรือตํ่าเกินไปไม่เหมาะต่อการทำงานของส่วนต่าง ๆ ของพืช ก็เกิดผลทำให้พืชไม่เจริญเติบโตได้ หรือชะงักการเจริญเติบโตในชั่วระยะเวลานั้น ๆ ปัญหาที่ว่าอุณหภูมิตํ่าเกินไป ทำให้ดินเย็นนั้น คงจะไม่เป็นปัญหา เพราะประเทศเราเป็นประเทศร้อน แต่มีปัญหาเกี่ยวกับความร้อนในดิน หรืออุณหภูมิสูงเสียมากกว่า ซึ่งมีผลกระทบ กระเทือนต่อต้นอ่อนของพืช เพราะจะทำให้ต้นอ่อนของพืชเฉา เนื่องจากความชื้นในดินระเหยไปหมด ในการแก้ปัญหาเหล่านี้ กระทำได้โดยการหาวัตถุคลุมดิน เช่นหญ้าหรือฟางคลุมดินไว้
3. แสงสว่าง มีความจำเป็นต่อพืชมาก เพราะแสงสว่างจากดวงอาทิตย์เป็นพลังงานที่จะทำให้พืชเจริญเติบโต ประโยชน์ของแสงสว่างที่มีต่อพืชมีดังนี้
·         เป็นพลังงานที่พืชใช้ในการปรุงอาหาร แสงสว่างที่ส่องลงมาจะต้องมีปริมาณเพียงพอแก่ความต้องการของพืชแต่ละชนิด เพราะพืชต่าง ๆ ใช้แสงสว่างไม่เท่ากัน แสงน้อยเกินไป พืชจะปรุงอาหารไม่ได้ ดังนั้นในการดูแลรักษาต้นไม้ จำเป็นจะต้องตัดแต่งกิ่งให้แสงแดดส่องลงให้ทั่วถึงทั้งต้น เพื่อให้ใบทุกใบทำหน้าที่ปรุงอาหารให้เต็มที่
·         เกี่ยวกับความงอกงามของเมล็ดพืช เพราะแสงแดดมีแสงอินฟราเรด เป็นแสงที่ช่วยให้พืชงอกงามเร็ว นอกจากเกี่ยวกับการงอกงามของเมล็ดแล้ว แสงสว่างยังช่วยทำให้ลำต้นเจริญรวดเร็วด้วย ดังจะเห็นได้จากต้นไม้ มักจะเอนเข้าหาแสงสว่างอยู่เสมอ ถ้าที่ถูกแสงสว่างมาก มักจะเจริญรวดเร็วกว่าด้านที่ถูกแสงสว่างมาก มักจะเจริญรวดเร็วกว่าด้านที่ไม่ถูกแสงสว่าง
·         เกี่ยวกับทางสรีระภายใน พืชบางอย่างจะออกดอกในเมื่อได้รับแสงสว่างเพียงพอ แสงมากไปหรือน้อยไปก็ไม่ออกดอก ดังนั้นในการปลูกต้นไม้ ผู้ปลูกจะต้องทราบว่า ต้นไม้แต่ละชนิดนั้น ต้องการแสงสว่างมากหรือน้อยเพียงใด ถ้าแสงแดดมากเกินไปก็จะเผาใบไม้ไหม้ ใบไม้นั้นก็ไม่สามารถจะทำหน้าที่ปรุงอาหารได้ เมื่อปรุงอาหารไม่ได้ต้นไม้ก็ชะงักการเจริญเติบโต และในทางตรงกันข้าม ถ้านำต้นไม้ที่ชอบกลางแจ้งไปปลูกในร่มที่ไม่ได้รับแสงแดด ต้นไม้ก็ไม่เจริญเติบโต เพราะไม่มีแสงแดดสำหรับ เป็นพลังงานในการสังเคราะห์แสง (ปรุงอาหาร)
4. ความชุ่มชื้น ความชุ่มชื้น หมายถึง ความชุ่มชื้นที่อยู่ในดิน และความชุ่มชื้นที่อยู่ในอากาศ ความชุ่มชื้นที่อยู่ในดิน สำหรับละลายแร่ธาตุต่าง ๆ แล้วรากก็ดูดส่งไปตามลำต้นถึงกิ่งและใบ เมื่อได้รับแสงสว่างก็ปรุงแต่งให้เป็นอาหารบำรุงโครงร่างของต้นไม่ให้เจริญเติบโตต่อไป ดินที่อุดมสมบูรณ์หากขาดน้ำเสียแล้ว รากก็ไม่สามารถจะดูดเอาแร่ธาตุที่เป็นอาหารของพืชมาจากดินได้ ดินที่สมบูรณ์นั้นก็หาประโยชน์มิได้ นอกจากความชุ่มชื้นในดินแล้ว ความชุ่มชื้นในอากาศก็มีความจำเป็นต่อต้นไม้ เพราะทำให้ต้นไม้สดชื่นอยู่เสมอสีไม่เหี่ยวเฉา
5. อากาศ ในอากาศมีก๊าซสคาร์บอนไดออกไซด์ (co2) และก๊าซอ๊อกซิเจน (o2) พืชดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เข้าไปทางใบ เพื่อนำไปสร้างน้ำตาลกลูโคส (C6H12o6) ส่วนก๊าซอ๊อกซิเจนที่ต้นไม้หายใจเข้าไป เพื่อนำไปทำให้น้ำตาลกลูโคสสลายตัว ก่อให้เกิดกำลังงานสร้างความชื้นเพื่อถ่ายเทให้แก่ต้นไม้ การถ่ายเทของอากาศจะช่วยให้น้ำในใบของต้นไม้ระเหยได้เร็ว ซึ่งเรียกว่า การคายน้ำเมื่อต้นไม้คายน้ำ ทำให้น้ำในต้นไม้น้อยลงไป รากก็จะดูดน้ำจากที่ละลายปุ๋ย หรือมีอาหารของพืชขึ้นมาแทนน้ำที่ระเหยไป ไปตามกิ่งก้านของต้นไม้ ส่งไปยังใบปรุงแต่งเป็นอาหาร ต้นไม้ก็เจริญเติบโตขึ้น
6. ปุ๋ย หรืออาหารของพืช พืชต้องการอาหาร ซึ่งเป็นแร่ธาตุต่าง ๆ ที่อยู่ในดิน ในอากาศ หรือในน้ำ เพื่อไปสร้างความเจริญเติบโตให้แก่พืช แร่ธาตุที่พืชต้องการนั้นมีด้วยกันหลายชนิด ธาตุแต่ละชนิดทำให้เกิดประโยชน์แก่พืชไม่เหมือนกัน พืชแต่ละชนิดก็ต้องการแร่ธาตุที่เป็นอาหารไม่เหมอนกัน ปุ๋ยหรืออาหารของพืชนี้ จะกล่าวในเรื่องการใช้ปุ๋ยต่อไป
7. ปราศจากศัตรูและโรค ต้นไม้แม้จะมีอาหารดี ถ้าถูกศัตรูรบกวนก็จะทำให้ต้นไม้นั้นไม่ เจริญเติบโตเท่าที่ควร ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องดูแลบำรุงรักษาศัตรูของต้นไม้แบ่งออกเป็น 2 พวก คือ
·         สัตว์ต่าง ๆ ได้แก่สัตว์ที่มารบกวนหรือทำลายต้นพืช แต่ส่วนใหญ่ได้แก่ตัวแมลงต่าง ๆ
·         โรค โรคของพืชแบ่งออกเป็น 2 พวก ย่อย ๆ คือ โรคที่เกิดจากเชื้อได้แก่ เชื้อรา บัก­เตรี และเชื้อวิสา (Virus) พวกหนึ่งกับโรคที่ ไม่มีเชื้ออีกพวกหนึ่ง โรคเหล่านี้ได้แก่โรคที่เกิดจากสภาพทางฟิสิกส์ เช่น สภาพของดิน หรือการขาดอาหารบางอย่าง หรืออาหารเป็นพิษ

เมื่อพืชต่าง ๆ เป็นโรค ก็ต้องพิจารณาดูว่าโรคนั้นเกิดจากอะไร แล้วจึงใช้ยากำจัดโรคและกำจัดแมลงนั้น ๆ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น